ยินดีต้อนรับสู่เว็บบล็อก ด.ญ.ทิพยรัตน์ เถระวัฒน์ เลขที่22 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่2/11 วิชาประวัตศาสตร์ ส22102 ครูชาญวิทย์ ปรีชาพาณิชพัฒนา โรงเรียนเสลภูมิพิยาคม

ข้อสอบ

วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2559

59.แนวทางในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย



แนวทางในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย
1x42.gif
1. การค้นคว้าวิจัยควรศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลภูมิปัญญาของไทยในด้านต่างๆ ที่เป็นภูมิปัญญาของท้องถิ่น มุ่งศึกษาให้รู้ความเป็นมาในอดีต และสภาพการณ์ในปัจจุบัน
2. การอนุรักษ์ โดยการปลุกจิตสำนึกให้คนในท้องถิ่นตระหนักถึงคุณค่าแก่นสาระและความสำคัญของภูมิปัญญาท้องถิ่น ส่งเสริมสนับสนุนการจัดกิจกรรมตามประเพณีและวัฒนธรรมต่างๆ สร้างจิตสำนึกของความเป็นคนท้องถิ่นนั้นๆ ที่จะต้องร่วมกันอนุรักษ์ภูมิปัญญาที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น รวมทั้งสนับสนุนให้มีพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นหรือพิพิธภัณฑ์ชุมชนขึ้น เพื่อแสดงสภาพชีวิตและความเป็นมาของชุมชน อันจะสร้างความรู้และความภูมิใจในชุมชนท้องถิ่นด้วย
3. การฟื้นฟู โดยการเลือกสรรภูมิปัญญาที่กำลังสูญหาย หรือที่สูญหายไปแล้วมาทำให้มีคุณค่าและมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตในท้องถิ่น โดยเฉพาะพื้นฐานทางจริยธรรม คุณธรรม และค่านิยม
4. การพัฒนา ควรริเริ่มสร้างสรรค์และปรับปรุงภูมิปัญญาให้เหมาะสมกับยุคสมัยและเกิดประโยชน์ในการดำเนินชีวิตประจำวัน โดยใช้ภูมิปัญญาเป็นพื้นฐานในการรวมกลุ่มการพัฒนาอาชีพควรนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีมาช่วยเพื่อต่อยอดใช้ในการผลิต การตลาด และการบริหาร ตลอดจนการป้องกันและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
5. การถ่ายทอด ถ่ายทอดให้คนในสังคมได้รับรู้ เกิดความเข้าใจ ตระหนักในคุณค่า คุณประโยชน์และปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม โดยผ่านสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา และการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมต่างๆ  
6. ส่งเสริมกิจกรรม โดยการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดเครือข่ายการสืบสานและพัฒนาภูมิปัญญาของชุมชนต่างๆ เพื่อจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง
7. การเผยแพร่แลกเปลี่ยน โดยการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการเผยแพร่และแลกเปลี่ยนภูมิปัญญาและวัฒนธรรมอย่างกว้างขวาง ด้วยสื่อและวิธีการต่างๆ อย่างกว้างขวาง รวมทั้งกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
8. การเสริมสร้างปราชญ์ท้องถิ่น โดยการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของชาวบ้าน ผู้ดำเนินงานให้มีโอกาสแสดงศักยภาพด้านภูมิปัญญา ความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ มีการยกย่องประกาศเกียรติคุณในลักษณะต่างๆ


วิธีการมีส่วนร่วมอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย
1. การนิยมในสินค้าไทย อุดหนุนสินค้าที่ผลิตจากภูมิปัญญาไทย
2. การเข้าร่วมในวัฒนธรรมประเพณีที่เป็นภูมิปัญญาไทยทุกครั้ง
3. การรวมกลุ่มเพื่อร่วมอนุรักษ์ภูมิปัญญาในด้านต่างๆ ตามความสนใจ ความสามารถของตนเอง นำไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต

57.การสร้างสรรค์ภูมิปัญญาไทยสมัยรัตนโกสินทร์

การสร้างสรรค์ภูมิปัญญาไทยสมัยรัตนโกสินทร์
1x42.gif
ในสมัยรัตนโกสินทร์นี้มีพัฒนาการทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมที่โดดเด่นเกิดขึ้นมากมาย ที่สำคัญยังเป็นยุคสมัยแห่งการปฏิรูปทางการเมืองครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ชนชาติไทยเมื่อระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ถูกแทนที่ด้วยระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญในการปฏิวัติสยาม ปีพ.ศ. 2475 ด้วย
การสร้างสรรค์ผลงานด้านภูมิปัญญาในสมัยรัตนโกสินทร์มีตัวอย่างพอสังเขป ดังนี้    
1. การสร้างราชธานีโดยคำนึงถึงความได้เปรียบทางด้านยุทธศาสตร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ทรงย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีมายังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา เนื่องจากทรงเล็งเห็นว่ากรุงธนบุรีเป็นเมืองอกแตกที่มีแม่น้ำผ่ากลาง ทำให้ยากแก่การป้องกันรักษาพระนครเวลาข้าศึกบุก ในขณะที่ทางฝั่งตะวันออกเป็นทำเลที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมเพราะเป็นที่หัวแหลม ถ้าสร้างเมืองแต่เพียงฟากเดียว
จะได้แม่น้ำเจ้าพระยาเป็นคูเมืองทั้งด้านตะวันตกและด้านใต้ เพียงแค่ทำการขุดคลองอีก 2 ด้านก็จะได้คูเมืองทั้ง 4 ทิศ นับเป็นกำแพงเมืองธรรมชาติสำหรับตั้งรับข้าศึกศัตรูในภาวะสงครามได้เป็นอย่างดี
2. การพัฒนาองค์ความรู้ด้านการแพทย์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ทรงปฏิสังขรณ์วัดโพธารามหรือวัดโพธิ์ขึ้นเป็นอารามหลวงโดยให้ชื่อว่า “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม” และโปรดเกล้าฯให้รวบรวมจารึกตำรายา ท่าฤาษีดัดตนและตำรับการนวดแผนโบราณไว้ตามศาลาราย ส่งผลให้วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามได้รับการขนานนามให้เป็นสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาลแห่งแรกของประเทศไทย ต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงปฏิสังขรณ์วันพระเชตุพนวิมลมังคลารามอีกครั้งในรัชสมัยของพระองค์ นอกจากนี้ยังทรงอนุญาตให้มิชชั่นนารีจากสหรัฐอเมริกา ภายใต้การนำของนายแพทย์แดน บีช แบรดลีย์ หรือที่คนไทยเรียกว่าหมอบรัดเลย์ นำการแพทย์แบบตะวันตกเข้ามาเผยแพร่
ซึ่งหมอบรัดเลย์ได้ทำการผ่าตัดแผนใหม่และปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษสำเร็จเป็นครั้งแรกในประเทศไทย จนกระทั่งในปีพ.ศ. 2431 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราชได้โปรดเกล้าฯจัดตั้งโรงพยาบาลศิริราชขึ้นเพื่อทำการบำบัดรักษาผู้ป่วยไข้ โดยมีทั้งแพทย์แผนโบราณของไทยและแพทย์ฝรั่งร่วมทำการรักษาด้วย
3. การสร้างพระที่นั่งในพระบรมมหาราชวัง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงระดมช่างฝีมือซึ่งหลงเหลืออยู่ในเวลานั้นมาสร้างพระราชวังใหม่ที่ยิ่งใหญ่เพื่อเป็นศูนย์กลางราชธานีโดยให้เป็นไปตามแบบของกรุงศรีอยุธยายุครุ่งเรือง อีกทั้งยังมีพระราชดำริให้สร้างพระอารามในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งได้แก่ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรหรือพระแก้วมรกต อันเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทยด้วย
4. ความเฟื่องฟูทางวรรณกรรมและศิลปกรรม รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้รับการยกย่องว่าเป็นยุคทองของศิลปะรัตนโกสินทร์ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็นกษัตริย์ผู้ทรงใฝ่พระทัยในงานศิลปะ ทั้งทางด้านวิจิตรศิลป์และวรรณคดี  นอกจากพระองค์จะทรงสร้างและบูรณะวัดวาอารามจำนวนมากแล้ว ยังทรงพระอัจฉริยภาพในทางกวี โดยเฉพาะการแต่งบทละครทั้งละครในและละครนอก พระราชนิพนธ์ชิ้นสำคัญของพระองค์ ได้แก่ บทละครเรื่องอิเหนาและรามเกียรติ์ ซึ่งทรงนำมาแต่งใหม่เพื่อให้ใช้ในการแสดงได้ นอกจากจะทรงพระราชนิพนธ์ด้วยพระองค์เองแล้ว ยังได้ชื่อว่าเป็นองค์อุปถัมภ์บรรดาศิลปินและกวีด้วย ยุคนี้จึงเรียกได้ว่าเป็นยุคสมัยที่กวีนิพนธ์เจริญรุ่งเรืองสูงสุด สำหรับกวีเอกคนสำคัญในรัชกาลของพระองค์ก็คือพระศรีสุนทรโวหาร (ภู่) หรือที่คนไทยทั่วไปเรียกว่าสุนทรภู่  
5. การปฏิรูปการเมืองการปกครองแผ่นดิน รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราชถือเป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในประเทศไทย เนื่องจากพระองค์ได้ทรงปฏิรูปสังคมขนานใหญ่ ตั้งแต่ทรงยกเลิกระบบทาสและการเกณฑ์แรงงานไพร่ และหันมาใช้ระบบการเก็บภาษีรัชชูปการแทน นอกจากนี้ยังทรงปฏิรูปการปกครองส่วนภูมิภาคด้วยการยกเลิกระบบหัวเมืองแบบเก่า อันได้แก่ หัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นนอกและเมืองประเทศราช โดยเปลี่ยนเป็นการจัดการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลแทน ระบบมณฑลเทศาภิบาลดังกล่าวส่งผลให้สยามกลายเป็นรัฐชาติที่มีเขตแดนชัดเจนแน่นอน และมีความเป็นปึกแผ่นมั่นคงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนนับแต่สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์

56.การสร้างสรรค์ภูมิปัญญาไทยสมัยสุโขทัย

การสร้างสรรค์ภูมิปัญญาไทยสมัยสุโขทัย
1x42.gif

การสร้างสรรค์ผลงานด้านภูมิปัญญาในสมัยสุโขทัยมีตัวอย่างพอสังเขป ดังนี้    
1. การใช้หลักธรรมและคติความเชื่อทางพุทธศาสนาควบคุมพฤติกรรมของคนในสังคม             
การปลูกฝังนิสัยของคนไทยในสมัยสุโขทัยให้มีศีลธรรมเพื่อความสงบสุขของสังคมส่วนรวมอาศัยประโยชน์จากการประยุกต์หลักคำสอนในพุทธศาสนา เช่น การนำเรื่องราวในหนังสือไตรภูมิพระร่วงซึ่งเป็นวรรณกรรมปรัชญาชิ้นแรกของไทยที่พระราชนิพนธ์โดยพระมหาธรรมราชาที่ 1 หรือพระยาลิไทมาสอนจริยธรรมให้คนทำดีและเกรงกลัวต่อบาป
2. การประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นมาใช้เป็นแบบฉบับของตนเอง อักษรไทยที่ประดิษฐ์ขึ้นโดยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชในปีพ.ศ. 1826 ที่เรียกว่า “ลายสือไทย” เป็นภูมิปัญญาการเขียนอักษรไทยเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยซึ่งดัดแปลงมาจากอักษรขอมหวัด อักษรหราหมีและอักษรคฤนห์ นอกจากนี้พ่อขุนรามคำแหงมหาราชยังได้ใช้ลายสือไทยบันทึกเรื่องราวพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของพระองค์ ตลอดจนการเมืองการปกครอง สภาพบ้านเมืองและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนสมัยนั้นในศิลาจารึกหลักที่ 1 อีกด้วย
3. การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านประติมากรรมและสถาปัตยกรรม ในสมัยนี้เริ่มมีการนำศิลาแลงมาสร้างอาคารสถานที่ต่างๆ เช่นที่พบเห็นในกำแพงเมืองชั้นในของเมืองศรีสัชนาลัย
นอกจากนี้ยังค้นพบการผสมตะกั่วลงไปในสำริดเพื่อทำให้โลหะหลอมได้ง่ายขึ้น และทำให้วัตถุที่หล่อมีคุณภาพเพียงพอสำหรับทำภาชนะ เครื่องประดับและเครื่องมือเครื่องใช้ที่มีรูปร่างซับซ้อนได้ ยกเว้นประติมากรรมพระพุทธรูปสำริด ซึ่งไม่นิยมผสมตะกั่วลงไปเพราะต้องการสร้างให้แข็งแกร่งทนทาน
4. การแก้ไขปัญหาที่เกิดจากสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ ชาวสุโขทัยได้ใช้ภูมิปัญญาในการแก้ไขข้อจำกัดทางธรรมชาติและสภาพภูมิประเทศด้วยการสร้างระบบชลประทาน โดยมีการชักน้ำจากที่สูงทางด้านตะวันตกของสุโขทัยด้วยการสร้างแนวคันดินเพื่อทำหน้าที่บังคับทิศทางของน้ำให้ไหลจากหุบเขามาสู่คูเมืองและสระน้ำในเมือง แนวคันดินสำหรับเบี่ยงเบนทิศทางของน้ำนี้เรียกว่า “ทำนบพระร่วง” หรือที่นักวิชาการหลายท่านเรียกชื่อว่า “สรีดภงส์”
ตามชื่อที่ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ 1 นอกจากนี้ยังมีการสร้าง “ตระพัง” หรือสระสำหรับเก็บน้ำ น้ำที่ถูกชักไปตามคลองส่งน้ำและลำเลียงไปสู่กำแพงเมืองเก่าจะไหลเข้าสู่สระตระพังเงินสระตระพังทองเพื่อใช้สอยในเมืองและพระราชวังในสมัยสุโขทัย
5. การเคลือบเครื่องปั้นดินเผาสมัยสุโขทัย ในสมัยสุโขทัยมีการปั้นภาชนะด้วยดินเหนียวหรือดินขาว ก่อนนำไปเผาในเตาอุณหภูมิสูงและเคลือบให้สวยงาม ซึ่งเรียกว่า “เครื่องสังคโลก”
สีของเครื่องเคลือบมักเป็นสีเขียวไข่กามีสีน้ำตาลบ้างประปราย หลักฐานเตาเผาที่ถูกค้นพบเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าในสมัยสุโขทัยได้มีการผลิตเครื่องปั้นดินเผาเป็นอุตสาหกรรมเพื่อประโยชน์ใช้สอย และเพื่อค้าขายในชุมชนและหัวเมืองใกล้เคียงด้วย การสร้างสรรค์ภูมิปัญญาไทยสมัยอยุธยา    


การสร้างสรรค์ผลงานด้านภูมิปัญญา ในสมัยอยุธยา มีตัวอย่างพอสังเขป ดังนี้
1. การสร้างสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เป็นศูนย์รวมอำนาจ การที่อยุธยาติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติทำให้มีโอกาสได้เรียนรู้ภูมิปัญญาของชนชาติอื่น และนำมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์กับคนในสมัยนั้น อยุธยาได้นำรูปแบบการปกครองแบบเทวราชาที่เชื่อว่ากษัตริย์คือสมมุติเทพหรือเทพเจ้าจุติลงมาปกครองประชาชนมาจากเขมรซึ่งรับต่อมาจากอินเดีย การปกครองแบบนี้จะให้ความสำคัญและอำนาจในการปกครองบ้านเมืองกับกษัตริย์อย่างมาก
2. การแต่งแบบเรียนสำหรับคนไทย พระโหราธิบดีในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแต่งหนังสือจินดามณีให้ชาวอยุธยาใช้ในการศึกษาภาษาไทยเพื่อให้อ่านออกเขียนได้ จินดามณีถือเป็นหนังสือแบบเรียนสำหรับคนไทยเล่มแรกในประวัติศาสตร์
3. การพัฒนาองค์ความรู้ด้านการแพทย์แผนไทย บรรดาหมอหลวงในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้ร่วมกันรวบรวมตำรับยาต่างๆทั้งไทยและเทศขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติการแพทย์ไทยซึ่งเรียกว่า “ตำราพระโอสถพระนารายณ์” ซึ่งตำราเหล่านี้ยังตกทอดมาถึงทุกวันนี้
4. ความเฟื่องฟูทางศิลปกรรมแขนงต่างๆ ในสมัยอยุธยามีการสร้างสรรค์งานศิลปะในหลายแขนง ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรม จิตรกรรม ประติมากรรมหรือประณีตศิลป์ ตัวอย่างศิลปะยุคนี้ ได้แก่ พระเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง จิตรกรรมฝาผนังโบสถ์และวิหาร งานเครื่องไม้จำหลัก งานปูนปั้น การทำลายรดน้ำ งานประดับมุก รวมไปถึงงานเขียนลวดลายเครื่องเบญจรงค์

การสร้างสรรค์ภูมิปัญญาไทยสมัยธนบุรี

สมัยธนบุรีเป็นช่วงเวลาสั้นเพียง 15 ปีเท่านั้น ศิลปกรรมต่างๆที่สร้างขึ้นคงเป็นไปตามแบบอย่างของอยุธยา จึงผนวกรวมเข้าไว้ในศิลปวิทยาการสมัยอยุธยา

54.การอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย

การอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย
1x42.gif
การอนุรักษ์วัฒธรรมไทยนั้น ต้องอาศัยความร่วมมือกันของคนไทยทุกคนมีวิธีการ ดังนี้
1. ศึกษา ค้นคว้า และการวิจัยวัฒนธรรมไทยและวัฒนธรรมท้องถิ่น ทั้งที่มีการรวบรวมไว้แล้วและยังไม่ได้ศึกษา เพื่อทราบความหมาย และความสำคัญของวัฒนธรรมในฐานะที่เป็นมรดกของไทยอย่างถ่องแท้ ซึ่งความรู้ดังกล่าวถือเป็นรากฐานของการดำเนินชีวิต เพื่อให้เห็นคุณค่า ทำให้เกิดการยอมรับ และนำไปใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม ต่อไป
2. ส่งเสริมให้ทุกคนเห็นคุณค่า ร่วมกันรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาติและของท้องถิ่นเพื่อสร้างความเข้าใจและมั่นใจแก่ประชาชนในการปรับเปลี่ยนและตอบสนองกระแสวัฒนธรรมอื่นๆ อย่างเหมาะสม
3. รณรงค์ให้ประชาชนและภาคเอกชน ตระหนักในความสำคัญ ของวัฒนธรรมว่าเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องให้การรับผิดชอบร่วมกันในการส่งเสริมสนับสนุน ประสานงานการบริการความรู้ วิชาการ และทุนทรัพย์สำหรับจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรม
4. ส่งเสริมและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมภายในประเทศและระหว่างประเทศ โดยการใช้ศิลปะวัฒนธรรมที่เป็นสื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน
5. สร้างทัศนคติ ความรู้ และความเข้าใจว่าทุกคนมีหน้าที่เสริมสร้าง ฟื้นฟู และการดูแลรักษาสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและทางวัฒนธรรมที่เป็นสมบัติของชาติ และมีผลโดยตรงของความเป็นอยู่ของทุกคน
6. จัดทำระบบเครื่อข่ายสารสนเทศทางด้านวัฒนธรรมเพื่อเป็นศูนย์กลางเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลงานเพื่อให้ประชาชนเข้าใจ สามารถเลือกสรร ตัดสินใจและปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับการดำเนินชีวิตทั้งนี้สื่อมวลชนควรมีบทบาทในการส่งเสริม และสนับสนุนงานด้านวัฒนธรรมมากยิ่งขึ้นด้วย
7.การเสริมสร้างปราชญ์ท้องถิ่น โดยการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของชาวบ้าน ผู้ดำเนินงานให้มีโอกาสแสดงศักยภาพด้านภูมิปัญญา ความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ มีการยกย่องประกาศเกียรติคุณในลักษณะต่างๆ
8.การถ่ายทอด โดยการนำภูมิปัญญาที่ผ่านมาเลือกสรรกลั่นกรองด้วยเหตุและผลอย่างรอบคอบและรอบด้าน แล้วไปถ่ายทอดให้คนในสังคมได้รับรู้ เกิดความเข้าใจ ตระหนักในคุณค่า คุณประโยชน์และปฎิบัติได้อย่างเหมาะสม โดยผ่านสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา และการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมต่างๆ
1x42.gif

53.วิถีการดำเนินชีวิตในสมัยสุโขทัย

วิถีการดำเนินชีวิตในสมัยสุโขทัย
1x42.gif
1. ด้านการเมืองการปกครอง ในช่วงแรกผู้ปกครองสุโขทัยมีความไกล้ชิดกับประชาชน เหมือนพ่อปกครองลูก สำหรับการปกครองแบบพ่อกับบกับนี้ ประชาชนจะนับถือพระเจ้าแผ่นดินเหมือนเป็นอย่างบิดา พ่อปกครองครัวเรือนหลายครัวเรือนรวมกันเป็นบ้านอยู่ในปกครองของพ่อบ้าน ผู้อยู่ในปกครอง เรียกว่า ลูกบ้าน หลายบ้านรวมกันเป็นเมืองถ้าเป็นเมืองขึ้นอยู่ในความปกครองของพ่อเมือง ถ้าเป็นประเทศราชเจ้าเมืองเป็นขุนหลายเมืองรวมกันเป็นประเทศที่อยู่ในความปกครองของพ่อขุน ข้าราชการในตำแหน่งต่าง ๆ เรียกว่าลูกขุน
2. ด้านเศรษฐกิจ ชาวบ้านประชาชน มีอิสระภาพในการประกอบอาชีพ ในด้านต่างๆ เช่น การทำเกษตรกรรม ค้าขาย มีการใช้เงินพดด้วงและเบี้ยในการแลกเปลี่ยนกัน
3. ด้านสังคมและวัฒนธรรม สังคมในสมัยนั้นมีขนาดไม่ใหญ่มาก เนื่องจากประชากรมีจำนวนน้อย ชนชั้นต่างๆแบ่งออกเป็น ชนชั้นปกครองได้แก่ พระมหากษัตริย์ ขุนนาง และผู้ถูกปกครอง คือ ราษฎร ทาส และพระสงฆ์ ชาวสุโขทัยนั้นมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ได้มีการสร้างวัดวาอาราม พระพุทธรูปจำนวนมาก มีการแต่งวรรณกรรมด้วย คือ ไตรภูมิพระร่วง นั่นเอง  ศาสนาเป็นสถาบันที่สำคัญในสังคมเพราะประชาชนหันเข้าหาศาสนาเพื่อแก้ปัญหาทุก ขณะเดียวกันตัวแทนของศาสนาคือพระ

วิถีการดำเนินชีวิตในสมัยอยุธยาถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
1. ด้านการเมืองการปกครอง
   ในสมัยอยุธยาได้รับคติการปกครองแบบสมมติเทพมาจากเขมรที่ผู้ปกครองเปรียบดังเทพเจ้า จึงมีข้อปฏิบัติตามกฎมณเฑียรบาลที่ทำให้ผู้ปกครองมีความแตกต่างจากประชาชน เช่น การใช้ราชาศัพท์ การมีพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา เป็นต้น ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับราษฎรจึงห่างเหินกัน
2. ด้านเศรษฐกิจ
   เป็นระบบเศรษฐกิจแบบพึ่งตนเองและยังชีพอยู่ได้ ราษฎรสามารถผลิตสิ่งของที่จำเป็นในชีวิตประจำวันใช้เองในครัวเรือน ผูกขาดโดยพระคลังสินค้า สินค้าของตะวันตกส่วนใหญ่ขายได้เฉพาะสินค้าบางประเภท เช่น อาวุธปืน กระสุนปืน และสินค้าฟุ่มเฟือยที่ใช้ในราชสำนักหรือสำหรับกลุ่มที่มี การจัดระบบภาษีอาการและระบบเงินตรา
3. ด้านสังคมและวัฒนธรรม
   สังคมไทยสมัยอยุธยาได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมประเพณีจากเขมร อินเดีย มอญ จีน ญี่ปุ่น เปอร์เซีย อาหรับ ยุโรป เช่น การกำหนดชนชั้นของคนในสังคม กฎหมาย ประเพณี พระราชพิธีและธรรมเนียมในราชสำนัก วิถีการดำเนินชีวิตต่าง ๆ เช่น การดื่มชา การใช้เครื่องถ้วยชาม เครื่องเคลือบ การปรุงอาหาร และขนมหวาน ประชาชนมีประเพณีในชีวิตประจำวันที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา เช่น การเกิด การอุปสมบท การแต่งงาน การตาย และประเพณีเกี่ยวกับสังคม

วิถีการดำเนินชีวิตในสมัยการปฎิรูปประเทศ ในสมัยรัชกาลที่ 4 ถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475
1.ด้านการเมืองการปกครอง
   ในรัชกาลที่ 4 ประเทศไทยได้ถูกคุกคามจากภัยการล่าอาณานิคมของจักรวรรดิตะวันตก ทำให้พระมหากษัตริย์ไทยต้องดำเนินนโยบายทางด้านการต่างประเทศอย่างรอบคอบ รัชกาลที่ 5 ทรงแก้ไขปัญหาโดยใช้นโยบายการผ่อนหนักเป็นเบา
2.ด้านเศรษฐกิจ
   ในรัชกาลที่ 4 ไทยได้มีการทำสัญญาเบาว์ริงกับประเทศอังกฤษโดยไทยเสียเปรียบอย่างมากแต่ต้องยอม เนื่องจากเกรงอิทธิพลของอังกฤษ ทำให้เศรษฐกิจเป็นระบบการค้า มีการเปลี่ยนแปลงสกุลเงินจากพดด้วงมาเป็นเหรียญกษาปณ์และธนบัตร ลดการเก็บภาษาจากร้อยละ 10เหลือ ร้อยละ 3
3.ด้านสังคมวัฒนธรรม
   ในรัชกาลที่ 4 อนุญาตให้ไพร่เสียเงินแทนการถูกเกณฑ์แรงงานเข้ารับราชการ ให้เสรีภาพแก่สตรีที่บรรลุนิติภาวะในการเลือกคู่ครองโดยพ่อแม่จะบังคับไม่ได้ ห้ามพ่อแม่ขายบุตรเป็นทาส ห้ามสามีขายภรรยาเป็นทาสโดยเจ้าตัวไม่สมัครใจ . ประกาศให้ข้าราชการสวมเสื้อเวลาเข้าเฝ้า โปรดให้สร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ขึ้นเพื่อเป็นของที่พระมหากษัตริย์พระราชทาน เป็นบำเหน็จรางวัลแก่พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการไทย และชาวต่างประเทศ ทรงเปลี่ยนแปลงพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา โดยพระองค์ทรงร่วมเสวยด้วย
สมัยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 ถึงปัจจุบัน
1.ด้านการเมืองการปกครอง
   มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตยในปี พ.ศ. 2475
2.ด้านเศรษฐกิจ
  เริ่มมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติครั้งแรก มุ่งเน้นการส่งออกสินค้าเป็นสำคัญ
3.ด้านสังคมวัฒนธรรม
  ไทยประกาศใช้รัฐธรรมนูญเป็นจำนวน 18 ฉบับ วัฒนธรรมส่วนใหญ่รับแบบอย่างมาจากประเทศตะวันตก

1x42.gif

52.สภาพแวดล้อมที่มีผลต่อการสร้างสรรค์วัฒนธรรมไทย

สภาพแวดล้อม
ที่มีผลต่อการสร้างสรรค์วัฒนธรรมไทย
1x42.gif
1. ลักษณะของภูมิประเทศ การสร้างสรรค์วัฒนธรรมไทยจะขึ้นอยู่กับลักษณะภูมิประเทศ ซึ่งจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาคโดยในภาคเหนือและภาคตะวันตก ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูง ประชาชนก็มีวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับที่สูง เช่น การสร้างบ้านเรือนอยู่บนที่สูง ประกอบอาชีพบนที่สูง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นที่ราบสูงจะเป็นวัฒนธรรมที่สัมพันธ์กับที่ราบสูง เช่น การปลูกพืชไร่ที่ใช้น้ำน้อย การเลือกทำเลในการสร้างชุมชนบนโคกใกล้แหล่งน้ำ ส่วนภาคกลางที่เป็นเขตราบลุ่มแม่น้ำ วัฒนธรรมของประชาขนก็จะสัมพันธ์กับพื้นที่ราบลุ่ม เช่น การแข่งเรือ การทำนา การประมงน้ำจืด ส่วนพื้นที่ในเขตภาคใต้ที่เป็นสันเขาบริเวณตอนกลางของภาคแล้วลาดเอียงไปทางทิศตะวันตกและทิศตะวันออกเป็นชายฝั่งทะเลที่ยาว วัฒนธรรมของประชาชนก็จะสัมพันธ์กับทะเล เช่น การประมงทะเล การมีภาษาพูดที่เร็ว
2. ลักษณะของภูมิอากาศ วัฒนธรรมของไทยจะมีความสัมพันธ์กับลักษณะของภูมิอากาศเป็นอย่างยิ่ง เช่น ในพื้นที่ที่มีลักษณะอากาศที่หนาวเย็น ในภาคเหนือของไทย ประชาชนก็มีการสวมใส่เครื่องนุ่งห่มที่หนาเพื่อป้องกันอากาศหนาว รับประทานอาหารที่มีไขมัน การสร้างบ้านเรือนที่มีประตูหน้าต่างมิดชิดเพื่อป้องกันอากาศหนาว ส่วนในเขตที่มีอากาศที่ร้อนและแห้งแล้ง เช่น ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  ภาคกลางและภาคตะวันออกของไทย ประชาชนก็จะมีวัฒนธรรมเกี่ยวกับการปรับตัวให้เหมาะสม เช่น การเป็นผู้ที่มีความอดทนต่อความลำบาก การใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า มีประเพณีบุญบั้งไฟ การแห่นางแมวเพื่อขอฝน การสร้างบานเรือนทรงสูงเพื่อให้สามารถระบายอากาศได้ดี ในภาคใต้ที่มีฤดูฝนที่ยาวนานถึง 8 เดือน ในรอบ 1 ปี ประชาชนก็จะมีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง เช่น การสร้างบ้านชั้นเดียวที่มีหลังคาทรงสูง มีความลาดเอียงเพื่อให้สามารถระบายน้ำฝนได้ดี การประกอบอาชีพทำสวนยาง
3. ความศรัทธาในหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติของไทยมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงปัจจุบัน ประชาชนส่วนใหญ่ของไทยนับถือศาสนาพุทธ ดังนั้นคนไทยจึงยึดมั่นในคำสอนของพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง การสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรมด้านต่างๆของไทย จึงมีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น
การสืบทอดและการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรม
    คุณค่าของภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยดังกล่าวมาแล้ว เปรียบเสมือนสายใยของความผูกพันที่ส่งต่อจากบรรพบุรุษมายังคนรุ่นหลัง แต่ความผูกพันที่แสดงถึงความเป็นไทยนี้กำลังจะถูกลบเลือนไปในกระแสโลกาภิวัตน์ สุนทรียภาพอันเกิดจากภาษาดัดแปลงไปจากเดิมอย่างน่าวิตกไม่ว่าจะเป็นการพูดหรือเขียน เช่น เวลาพูดใช้ภาษาไทยคำภาษาต่างชาติคำ หรือการตัดพยางค์เพื่อให้คำสั้นลง ความไพเราะเพราะพริ้งของดนตรีของไทยถูกแทนที่ด้วยบทเพลงและเครื่องดนตรีสมัยใหม่ วัฒนธรรมที่ดีงามถูกครอบงำจากธุรกิจทุนนิยมภายใต้ชื่อใหม่ว่า การส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย ความเอื้ออาทร ความห่วงใย และความปรารถนาดีที่จะให้ผู้อื่นมีความสุข
   ด้วยเหตุนี้ การสืบทอดภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยเพื่อธำรงไว้ซึ่งความเป็นไทย เป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการ สำหรับวิธีการที่ควรกระทำคือ
1. ปลูกฝังและถ่ายทอดภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชนเพื่อให้ตระหนักในคุณค่าของภูมิปัญญาไทย เช่น เพลงไทยเดิม การละเล่น การดนตรี เป็นต้น
2.  รณรงค์เพื่อเป็นการปลูกจิตสำนึกให้แก่คนไทยได้ปฏิบัติตามวัฒนธรรมไทยอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
3. สนับสนุนและส่งเสริมงานพิพิธภัณฑ์ระดับท้องถิ่น เพื่อการอนุรักษณ์และพัฒนาวัฒนธรรมท้องถิ่น
4. ส่งเสริมสถาบันครอบครัวให้เข้ามาเป็นสถาบันหลักในการอนุรักษ์และพัฒนาวัฒนธรรมไทย
5. หลักสูตรของสถานศึกษาในทุกระดับต้องกำหนดให้มีการเรียนการสอนภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยเพื่อแสดงความเป็นไทย
6. ส่งเสริมให้มีการนำภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยเมาประยุกต์กับการตลาดเพื่อการผลิตและการเผยแพร่ให้นานาประเทศได้รู้จักภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยอย่างกว้างขวาง


1x42.gif

51.การเปลี่ยนแปลงทางด้านโครงสร้างทางสังคมของไทย

การเปลี่ยนแปลงทางด้านโครงสร้างทางสังคมของไทย
1x42.gif
การเปลี่ยนแปลงทางด้านโครงสร้างทางสังคมของไทยครั้งสำคัญเกิดขึ้นตั้งแต่รัชกาลที่ 4 เนื่องจากเป็นภาวะที่ประเทศไทยกำลังประสบกับภัยคุกคามจากชาติตะวันตก
การปฏิรูปสังคมไทยในสมัยรัชกาลที่ 5
1. การเลิกไพร่ เป็นชนชั้นที่มีจำนวนมากที่สุดในสังคม โดยตราพระราชบัญญัติทหารเพื่อเปิดรับทหาร เนื่องจากเกรงว่าเมื่อประกาศเลิกไพร่แล้วจะมีทหารน้อยลง
2. การเลิกทาส ทำแบบค่อยเป็นค่อยไป  โดยเริ่มจากการประกาศพระราชบัญญัติพิกัดเกษียณอายุลูกทาสไทย พ.ศ. 2417
การเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมวัฒนธรรมไทยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
    ในปีพุทธศักราช 2475 ในช่วงที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ขึ้นครองราชย์นั้น สังคมไทยได้ก้าวสู่ความเป็นอารยะตามแบบตะวันตก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเจริญ ที่ปรากฏอยู่ในรูปของวัตถุ ไม่ว่าจะเป็นถนนหนทาง รถไฟ ไฟฟ้า ประปา เขื่อนชลประทาน โรงพยาบาล ระบบการสื่อสารคมนาคม ที่ทำการรัฐบาล ห้างร้าน และตึกรามบ้านช่อง ตลอดจนเครื่องใช้อันทันสมัย  อันมีเจ้านายและชนชั้นสูงเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง
ส่วนชาวบ้านสามัญชนเป็นผู้ตาม นอกจากนั้นยังมีการเปลี่ยนแปลงในขนบธรรมเนียมบางอย่างเพื่อให้สอดคล้องกับการปกครองระบบใหม่
ทั้งนี้เพราะรัฐบาลต้องติดต่อกับชาติอื่น ๆ ทั่วโลก จึงต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมไทยให้เป็นสากลและสอดคล้องกับความเป็นไปของโลก
แต่ให้คงเอกลักษณ์ของความเป็นไทยไว้ที่เด่นชัดในสมัยนั้นก็คือ เรื่องการแต่งกายในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี
ได้มีบัญญัติเรียกว่า รัฐนิยม ซึ่งแสดงนโยบายของประเทศว่าต้องการให้ประชาชนคนไทยรักหวงแหนและภูมิใจในความเป็นไทย เช่น ให้ข้าราชการแต่งเครื่องแบบตามที่กำหนด ห้ามสวมกางเกงแพร
ให้ทักทายกันด้วยคำว่า สวัสดี เป็นหลักเพราะถือว่าเป็นคำที่ดี ไพเราะ และมีความหมายอันเป็นมงคล


สรุปที่สำคัญได้ดังนี้
  1. ค่านิยมให้ความสำคัญด้านวัตถุมากกว่าด้านจิตใจ
  2. รับวัฒนธรรมในการดำเนินชีวิตจากชาติตะวันตกทุกด้าน
  3. ประชาชนทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน
  4. การจัดการศึกษาที่มุ่งให้ผู้เรียนสามารถนำไปประกอบอาชีพเป็นสำคัญ
  5. สังคมไทยขยายขนาดเป็นสังคมเมือง
  6. เกิดปัญหาด้านสังคมเพิ่มขึ้น เนื่องจากจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นทุกคนต้องแก่งแย่งกันทำมาหากิน

1x42.gif

50.พัฒนาการทางด้านสังคม วัฒนธรรม


พัฒนาการทางด้านสังคม วัฒนธรรม
สมัยธนบุรี-รัตนโกสินทร์
1x42.gif


สภาพสังคมไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นส่วนใหญ่มีลักษณะโครงสร้างไม่แตกต่างจากสมัยอยุธยาและธนบุรี องค์ประกอบของสังคมไทยประกอบด้วยสถาบันต่างๆ ได้แก่ สถาบันพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ ขุนนาง ข้าราชการ ไพร่ และทาส
   ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น การทำนุบำรุงและฟื้นฟูทางด้านศิลปวัฒนธรรมได้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่รัชกาลที่ 1 จนถึงรัชกาลที่ 3 และการทำนุบำรุงก็กระทำโดยวิธีรักษารูปแบบเดิมไว้ตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่ในขณะเดียวกันก็เพิ่มเติมสิ่งใหม่ๆ ผสมผสานเข้าไปด้วย ทำให้ศิลปวัฒนธรรมของไทยในยุคนี้เจริญรุ่งเรืองมากสินทร์ตอนต้น (พ.ศ.๒๓๒๕-๒๔๓๕)
ศิลปวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่สะท้อนความเจริญของบ้านเมือง  ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ผู้นำทุกยุคทุกสัยให้ความสำคัญ  ส่งเสริม  และสนับสนุน  ศิลปวัฒนธรรมสมัยรัตนโกสินทร์แบ่งได้เป็นประเภทใหญ่ ๆ 4 ประเภท  คือ  สถาปัตยกรรม  ประติมากรรม  จิตรกรรม  และวรรณกรรม
1. สถาปัตยกรรม
   สถาปัตยกรรมส่วนใหญ่ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น  ได้รั้บแบบอย่างมาจากสมัยอยุธยาตอนปลาย  เช่น  วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว)  มีลักษณะคล้ายคลึงกับวัดพระศรีสรรเพชญในสมัยอยุธยา  
สมัยรัชกาลที่ 1  มีการสร้างและบูรณะวัดเป็นจำนวนมาก
สมัยรัชกาลที่ 3  ทรงมีพระราชนิยมแบบจีน  เกิดสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างไทยกับจีน  เช่น  วัดยานนาวา  เป็นต้น  
เมื่อมาถึงสมัยรัชากาลที่ 4  ไทยได้รับอิทธิพลจากตะวันตก  สถาปัตยกรรมจึงมีรูปแบบที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตก  เช่น
   พระราชวังสราญรมย์  ที่กรุงเทพ ฯ  สร้างสมัยรัชกาลที่ 4
   พระที่นั่งอนันตสมาคม  ที่กรุงเทพ ฯ  สร้างสมัยรัชกาลที่ 5
   พระราชวังสนามจันทร์  ที่จังหวัดนครปฐม  สร้างสมัยรัชกาลที่ 6


2. ประติมากรรม
    งานประติมากรรมของไทยตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น  มักเป็นพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ไม่นิยมปั้นรูปมนุษย์แบบสมจริง   จนกระทั่งได้รับอิทธิพลมาจากอารยธรรมตะวันตก  จึงเริ่มมีประติมากรรมรูปมนุษย์ตามแบบของจริงมากขึ้น  ส่วนใหญ่เป็นรูปปั้นของกษัตริย์  และบุคคลสำคัญ  เช่น  อนุสาวรีย์ต่าง ๆ เป็นต้น


3. จิตรกรรม
   จิตรกรรม  คือ  ศิลปะการวาดภาพ  ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นมักเป็นจิตรกรรมที่เกี่ยวกับพุทธประวัติ  ชาดก  หรือภาพในวรรณคดีเรื่อง  รามเกียรติ์  เป็นต้น  
ซึ่งส่วนใหญ่เขียนเป็นจิตรกรรมฝาผนังโบสถ์  สำหรับจิตรกรรมของชาวบ้านทั่วไปมักจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับพุทธประวัติและชาดกเช่นกัน  แต่มักสอดคแทรกเรื่องราวของวิถีชีวิตลงไปด้วย  ซึ่งสามารถพบจิตรกรรมประเภทนี้ได้ทั่วไป
    สมัยรัชกาลที่ 3  มีการรับอิทธิพลของศิลปะจีนอย่างมาก  ส่วนสมัยรัชกาลที่ 4  ได้รับอิทธิพลของตะวันตก  ซึ่งจะเป็นภาพที่สมจริงคือ  มี 3 มิติ  ศิลปินที่สำคัญในสมัยนี้  คือ  ขรัว  อินโข่ง  ส่วนศิลปินที่มีความสำคัญในสมัยรัชกาลที่ 5  คือ  สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ  กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์  ซึ่งอิทธิพลของตะวันตกยังส่งผลต่อจิตรกรรมไทยจนถึงปัจจุบัน


4. วรรณกรรม
    วรรณกรรมได้รับอิทธิพลจากชาติตะวันตกอย่างชัดเจน มีหลากหลายแนวทั้ง นวนิยาย เรื่องสั้น งานแปล สารคดี

1x42.gif

49.พัฒนาการทางด้านสังคม วัฒนธรรมอยุธยา

พัฒนาการทางด้านสังคม วัฒนธรรม
สมัยอยุธยา
1x42.gif
   สภาพสังคมในสมัยอยุธยา  เป็นแบบระบบศักดินา  ซึ่งจะเป็นตัวแบ่งสิทธิ  หน้าที่และความรับผิดชอบของคนในสังคม  ผู้ที่มีศักดินาสูงก็จะมีสิทธิ หน้าที่  และความรับผิดชอบสูง  ผู้ที่มีศักดินาต่ำก็จะมีสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบน้อยลดหลั่นกันตามศักดินาที่ได้รับ  พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้พระราชทานศักดินาให้แก่เจ้านาย  ขุนนาง  และราษฎร
กลุ่มคนในสังคมอยุธยาแบ่งได้ 2 ลักษณะ  ดังนี้
  1. ชนชั้นผู้ปกครอง
    1. พระมหากษัตริย์  เป็นประมุขสูงสุดของอาณาจักร
    2. เจ้านาย  เป็นผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากพระมหากษัตริย์
    3. ขุนนาง  เป็นบุคคลที่ถวายตัวเข้ารับราชการ  มีหน้าที่ช่วยพระมหากษัตริย์ดูแลปกครองบ้านเมือง
  2. ชนชั้นผู้ถูกปกครอง  ไพร่  หมายถึง  ราษฎรทั่วไป  เป็นกลุ่มคนที่มีจำนวนมากที่สุดในสังคม  ไพร่ที่เป็นชายต้องขึ้นสังกัดมูลนายตามกรมกองแห่งใดแห่งหนึ่ง  และมีหน้าที่รับใช้บ้านเมือง  แบ่งออกเป็น 3 ประเภท  ดังนี้
    1. ไพร่หลวง  คือ  ชายฉกรรจ์ที่สังกัดอยู่ในหน่วยงานต่าง ๆ มีหน้าที่ทำงานรับใช้บ้านเมืองปีละ 6 เดือน  ไพร่หลวงจะถูกเกณฑ์แรงงานมาทำงานต่าง ๆ เช่น  สร้างวัด  สร้างวัง  ป้อมปราการ  และถูกเกณฑ์ไปรบยามเกิดสงคราม
    2. ไพร่สม  เป็นไพร่ที่พระมหากษัตริย์พระราชทานให้แก่มูลนายตามศักดินา  เมื่อเกิดศึกสงครามก็ถูกเกณฑ์ไปรบ
    3. ไพร่ส่วย  เป็นไพร่หลวงที่ส่งสิ่งของมาแทนการถูกเกณฑ์แรงงาน  สิ่งของที่ไพร่ส่วยส่งมาส่วนใหญ่เป็นสิ่งของสำคัญ  เช่น  มูลค้างคาว  ดีบุก  ของป่า  เป็นต้น
  3. ทาส  เป็นคนที่ขาดสิทธิในแรงงานและชีวิต  ไม่มีอิสระในการทำสิ่งใดต้องทำงานตามที่นายเงินสั่ง
กลุ่มบุคคลในสถาบันศาสนา  ได้แก่  กลุ่มพระสงฆ์  เป็นชนชั้นที่มีฐานะทางสังคมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการปกครองบ้านเมืองโดยตรง  อาจถือได้ว่า  พระสงฆ์มีสถานภาพใกล้เคียงกับชนชั้นมูลนาย  เพราะได้รับการยกเว้นการเกณฑ์แรงงานและการเสียภาษีให้แก่รัฐ พระสงฆ์ได้รับการยกย้องให้เป็นผู้นำและเป็นที่พึ่งทางใจของชุมชน  และมีบทบาทเชื่อมประสานระหว่างชนชั้นต่าง ๆ ในสังคมให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข

1x42.gif